มะเขือเทศเป็นพืชที่ได้รับความนิยมในการปลูกอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะเป็นพืชที่ปลูกง่ายกว่าพืชชนิตอื่น ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก ก็สามารถปลูกได้ เหมาะสำหรับการปลูกในครัวเรือนหรือพื้นที่ขนาดเล็ก นอกจากนี้มะเขือเทศเป็นพืชที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ อุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ ไลโคปีน โพแทสเซียม เป็นต้นซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคตาเสื่อม ทำให้เป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาด
เริ่มจากการเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตสำหรับมะเขือเทศ มะเขือเทศเป็นพืชเมืองหนาว อุณหภูมิที่เหมาะต่อการเจริญเติบโต คือประมาณ 18-28 องศาเซลเซียสแนะนำว่าควรปลูกมะเขือเทศในโรงเรือนเพื่อควบคุมสภาพอากาศและกันฝน เพราะถ้าโดนฝนมากๆหรือโดนแดดจัดเกินไป อาจทำให้เกิดโรคได้ง่ายและมีผลผลิตน้อยกว่าที่ควรจะเป็นพลาสติกคลุมโรงเรือนที่นิยมใช้ในการปลูกมะเขือเทศคือ พลาสติกคลุมโรงเรือน สูตรมาตรฐาน(UV protect clear film) ถ้าในบ้างพื้นที่มีปัญหาเรื่องความร้อนสูงแนะนำเป็นสูตรลดความร้อนกระจายแสง (Cooling Diffused)
มะเขือเทศชอบดินร่วนซุย มีอินทรียวัตถุสูง และสามารถระบายน้ำได้ดี ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 1 ส่วนต่อ ดิน 4 ส่วนผสมดินและปุ๋ยให้เข้ากัน และตากดินทิ้งไว้ 15 วัน
มะเขือเทศแต่ละพันธุ์มีวิธีการปลูกและวิธีการดูแลที่เหมือนกัน พันธุ์ที่นิยมปลูกเพื่อจำหน่าย ได้แก่ 1. มะเขือเทศราชินี มีลักษณะผลกลม สีแดงเข้ม เนื้อแน่น รสชาติหวานอมเปรี้ยว 2. มะเขือเทศเชอรี่ มีลักษณะผลทรงรี สีแดง รสหวาน 3. มะเขือเทศลูกท้อ มีลักษณะผลกลม ลูกใหญ่ สีส้ม รสหวานอมเปรี้ยว
1.เตรียมภาชนะเพาะเมล็ด เช่น ถาดเพาะเมล็ด กระถาง 2.ใส่ดินสำหรับเพาะกล้าลงในภาชนะ(ดินร่อนแล้ว 1 ส่วน / ปุ๋ยคอก 1 ส่วน / แกลบ 1 ส่วน) 3.หยอดเมล็ดมะเขือเทศลงในดินเพาะระยะห่างระหว่างต้น 5 เซนติเมตร 4.รดน้ำให้ชุ่ม 5.วางภาชนะเพาะเมล็ดไว้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง
เมื่อต้นกล้ามะเขือเทศมีอายุประมาณ 20-30 วัน ก็พร้อมย้ายกล้าลงแปลงปลูก ขั้นตอนการย้ายกล้า มีดังนี้
1.เตรียมแปลงและโรงเรือนสำหรับปลูกให้พร้อม 2.ระยะห่างระหว่างหลุมอยู่ที่ 40 x 70 เซนติเมตร 3.นำต้นกล้ามะเขือเทศออกจากภาชนะเพาะ 4.วางต้นกล้าลงหลุมปลูก โดยกลบดินให้มิดโคนต้น 5.รดน้ำให้ชุ่ม
มะเขือเทศต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยให้น้ำวันละ 1-2 ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็น ควรรดน้ำให้ชุ่ม แต่ไม่ควรให้น้ำจนดินขังแฉะ การให้ปุ๋ยมะเขือเทศ มีดังนี้
ระยะกล้า : ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 100 กรัมต่อต้น ระยะออกดอก : ใส่ปุ๋ยสูตร 20-20-20 อัตรา 100 กรัมต่อต้น ระยะติดผล : ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 100 กรัมต่อต้น
1.ควรกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้วัชพืชแย่งอาหารและน้ำจากต้นมะเขือเทศ 2.มะเขือเทศอาจเกิดโรคและแมลงได้ ควรหมั่นตรวจดูต้นมะเขือเทศอย่างสม่ำเสมอ 3.สำหรับพันธุ์มะเขือเทศที่ทอดยอดหรือพันธุ์เลื้อย ควรเด็ดยอดหลักทิ้งเมื่อต้นสูงประมาณ 50 เซนติเมตร เพื่อให้กิ่งแขนงแตกออกมามากขึ้น ส่งผลให้ออกดอกและติดผลได้มากขึ้น
มะเขือเทศจะสุกประมาณ 45-60 วันหลังย้ายกล้า โดยสังเกตจากสีของผลมะเขือเทศ ผลมะเขือเทศที่สุกจะมีสีตามพันธุ์ เช่น สีแดง สีส้ม หรือสีเหลือง
ราคาขายมะเขือเทศในประเทศไทย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น พันธุ์มะเขือเทศ คุณภาพผลผลิต ฤดูกาล เป็นต้น โดยราคาขายมะเขือเทศในท้องตลาดทั่วไป ดังนี้
ควรเลือกพันธุ์มะเขือเทศที่ตลาดต้องการ เช่น มะเขือเทศราชินี มะเขือเทศเชอรี่ มะเขือเทศลูกท้อ เป็นต้น และศึกษาวิธีการปลูกมะเขือเทศอย่างละเอียด เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ สม่ำเสมอและตรงตามความต้องการของตลาด นอกจากนี้ ควรควบคุมคุณภาพผลผลิตอย่างสม่ำเสมอ เช่น ตัดแต่งกิ่ง เด็ดยอด ใส่ปุ๋ย ให้น้ำ เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพที่สูงที่สุด